
ราวๆ เดือนมีนาคม พ.ศ.2552 คุณธนิดา แม่ของคุณรุ่งนภา มีอาการเป็นไข้ ท้องเสีย และไปหาหมอที่โรงพยาบาลทันที แต่เมื่อแพทย์ตรวจสุขภาพแล้วกลับพบว่ามีอาการคล้าย “ตับโต” เพื่อความแม่นยำ คุณรุ่งนภาจึงพาคุณแม่ไปตรวจอีกครั้งที่โรงพยาบาลเพื่อเป็นการดับเบิ้ลเช็ค หมอทำการอัลตร้าซาวด์ ตรวจเลือด ผลการตรวจปรากฏว่ามีอาการม้ามโต ต่อมน้ำเหลืองในช่องท้องโต หมอจึงทำการเจาะไขกระดูกเพื่อวินิจฉัยโรคให้แม่นยำมากขึ้น ผลครั้งนี้หมอสรุปว่าคุณแม่ของคุณรุ่งนภานั้นเป็น “ม้ามโต” กล่าวคือเนื้องอกที่ต่อมน้ำเหลืองในช่องท้องต้องทำการรักษาด้วยการให้คีโม 8 ครั้ง หลังจากให้คีโมครบก็ต้องพบแพทย์ทุก 2 เดือน
ดูเหมือนความกังวลของคนในบ้านเริ่มจะผ่อนคลายลงเมื่ออาการของคุณแม่ดีขึ้นแต่ก็ไม่นาน คุณธนิดา ผู้เป็นแม่ก็เกิดมีฝีเม็ดเล็กๆ ขึ้นที่อวัยวะเพศ เมื่อไปพบหมอก็ได้เพียงยามาทา และยากินเพื่อลดอาการอักเสบ
ผ่านไป 2 สัปดาห์อาการต่างๆ ที่เกิดขึ้นน่าจะดีขึ้นแต่ไม่เลย ฝีเม็ดเล็กที่ว่ากลับมีอาการใหญ่ขึ้นเท่ากับนิ้วหัวแม่โป้ง มีอาการบวมแดง และอักเสบบวกกับมีการติดเชื้อในกระแสเลือด ต้องให้ยาฆ่าเชื้อวันละ 3 ขวดอยู่ถึง 3 สัปดาห์
นอกจากนี้ยังมีการเจาะไขกระดูกเพื่อตรวจเช็คอาการของโรคเก่าที่เคยเป็นว่าจะกลับมาเป็นอีกหรือไม่ เนื่องจากว่าเม็ดเลือดขาวของคุณธนิดานั้นต่ำมาก อยู่ในภาวะที่ติดเชื้อง่าย โชคดีที่ผลออกมาว่าโรคเดิมที่เคยเป็นนั้นไม่กลับมาเป็นใหม่
ระยะเวลาผ่านไปราวๆ 2 สัปดาห์ ฝีที่เป็นก็ค่อยๆ ยุบลงจากเดิม ที่เป็นข้างซ้ายก็กลับย้ายมาขึ้นที่ด้านขวาแทน มิหนำซ้ำเม็ดยังค่อนข้างใหญ่ จึงต้องทำการรักษาต่ออีกเป็นเวลากว่า 3 สัปดาห์ เมื่อเห็นว่าอาการดีขึ้นหมอจึงให้กลับบ้านได้แม้ว่าเม็ดเลือดขาวยังต่ำอยู่ก็ตาม และฝีก็ยังไม่ยุบ
หลังจากนั้นอีกสองสัปดาห์ หมอนัดมาดูอาการอีกครั้งคุณรุ่งนภา และคุณแม่จึงมีโอกาสได้รู้จักกับเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลจุฬาฯ ท่านหนึ่ง ซึ่งได้แนะนำให้รู้จักกับน้ำแอคทิเวท
“คุณแม่สั่งน้ำแอคทิเวท มาทดลองดื่ม 10 ขวดก่อน คุณแม่นำเอกสารเกี่ยวกับน้ำแอคทิเวท มาศึกษาดู และจากนั้นก็ดื่มน้ำแอคทิเวท ทุกวัน พร้อมกับนำน้ำแอคทิเวท ไปล้างฝีที่เป็นอยู่ ผ่านไปหนึ่งสัปดาห์คุณแม่ก็บอกว่า ฝีที่เป็นนั้นยุบลงแล้ว พอครบกำหนดที่หมอนัดและต้องทำการเจาะเลือด ผลเลือดออกมาปรากฏว่าเม็ดเลือดขาวนั้นเพิ่มขึ้นมาค่อนข้างดีกว่าตอนที่รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล นอกจากนี้ค่าของผลเลือดก็ดีขึ้น”
“ตั้งแต่นั้นมาก็สั่งน้ำแอคทิเวท ให้คุณแม่ดื่มมาตลอดจนถึงปัจจุบันดื่มมาครบ 1 ปี ทุกวันนี้คุณแม่มีสุขภาพดีขึ้น คุณหมอนัดตรวจทุก 2 เดือน และผลเลือดก็ยังอยู่ในเกณฑ์ปกติ”
“หากจะกล่าวถึงน้ำแอคทิเวท แล้ว น้ำแอคทิเวท อาจไม่ใช่ยารักษาโรค แต่เปรียบเหมือนกับเป็นการรักษาสุขภาพแบบองค์รวมโดยใช้ธรรมชาติบำบัด แต่ในที่นี้หากใช้คำว่าน้ำแอคทิเวท บำบัดนั้นก็คงจะได้ เพราะดิฉันเชื่อว่าคนเราทุกคนอยากมีชีวิตที่ดี มีสุขภาพที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่เรารัก”
เมื่อเห็นว่าปัญหาสุขภาพต่างๆ ที่เกิดกับคุณแม่นั้นคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น คุณรุ่งนภาก็เป็นอีกผู้หนึ่งที่มีเรื่องราว และประสบการณ์กับน้ำแอคทิเวท
“จากประสบการณ์ของตัวเอง เวลาที่ดิฉันไอหรือเจ็บคอ ดิฉันจะดื่มน้ำแอคทิเวท ก็จะรู้สึกว่าอาการทุเลาลงภายใน 3 วัน โดยที่ไม่ต้องกินยาแก้อักเสบใดๆ ทั้งสิ้น นอกจากนี้บางครั้งดิฉันยังมีอาการเจ็บเหงือก เหงือกอักเสบดื่มไปได้ 2-3 วันอาการก็ทุเลาลง หรือหากต้องไปเชียร์กีฬาแล้วมีอาการเสียงแหบแห้งก็จะกลับมาดื่มน้ำแอคทิเวท พอตอนเช้าตื่นมาก็สดชื่นแถมเสียงก็ไม่หาย และไม่แหบแห้งอีกด้วย”
ม้ามโตและฝีเม็ดใหญ่
ผู้เล่าเรื่อง รุ่งนภา
อาชีพ พนักงานรัฐวิสาหกิจ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น